วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การสร้างสิ้งของเครื่องใช้ตามกระบวนการ เทคโนโลยี

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การสร้างสิ้งของเครื่องใช้ตามกระบวนการ


เทคโนโลยี



การสร้างสิ่งของเครื่องใช้ตามกระบวนการเทคโนโลยี

กระบวนการทางเทคโนโลยี(Technological Process).

กระบวนการเทคโนโลยี (Technological Process). คือ ขั้นตอนการแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทรัพยากรให้เป็นผลผลิตหรือผลลัพธ์ระบบเทคโนโลยีประกอบด้วยกระบวนการเทคโนโลยีก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอย ตามที่มนุษย์ต้องการและเปลี่ยนแปลงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีความต้องการในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในการดำรงชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่อาจเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้น และบางครั้งปัญหาอาจเกิดการผลิตสิ่งของต่างๆไม่ตรงตามความต้องการไม่ได้คุณภาพจึงต้องมีการออกแบบ เพื่อจะนำมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว




ความสำคัญของกระบวนการทางเทคโนโลยี
1. เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ 
2. เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา
3. เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ

ระบบเทคโนโลยีประกอบด้วยกระบวนทางเทคโนโลยีทั้งหมด 7 ขั้นตอน ได้แก่
1. กำหนดปัญหาหรือความต้องการ (Identification the problem,need or preference)
กำหนดขอบเขตการแก้ปัญหา ระบุความต้องการให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร โดยเขียนเป็นข้อความสั้น ๆให้ได้ใจความชัดเจน
2. รวบรวมข้อมูลเพื่อแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ(Information)
เมื่อกำหนดปัญหาหรือความต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ เก็บรวบรวมข้อมูลและความรู้ทุกด้านที่ เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการเพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับแก้ปัญหา หรือสนองความต้องการที่กำหนดไว้ ทำได้หลายวิธี เช่น 
• รวบรวมข้อมูลจากหนังสือ วารสารต่างๆ
• สำรวจตัวอย่างในท้องตลาด
• สัมภาษณ์พูดคุยกับคนอื่น
• ระดมสมองหาความคิด
• สืบค้นจากอินเตอร์เน็ต และจากแผ่นซีดีเสริมความรู้ ฯลฯ
ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การได้วิธีการแก้ปัญหา หรือสนองความต้องการในหลายแบบ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ซึ่งจะเป็นช่องทางที่สามารถใส่เนื้อหาที่เราต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ และถือว่าเป็นช่องทางของการบูรณาการได้ดีที่สุด
3.เลือกวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ (Selection of the best possible solution)
ในขั้นนี้ เป็นการตัดสินใจเลือกแนวคิดที่ดีที่สุดสำหรับแก้ปัญหา โดยนำข้อมูล และความรู้ที่รวบรวมได้มาประกอบกันจนได้ข้อสรุปว่า จะเลือกวิธีการแก้ปัญหาหรือวิธีการสนองความต้องการเป็นแบบใด โดยวิธีการที่เลือกอาจยึดแนวที่ว่า เมื่อเลือกแล้วจะทำให้สิ่งนั้นดีขึ้น (Better) สะดวกสบายหรือรวดเร็วขึ้น(Fasterspeed) ประหยัดขึ้น (Cheaper) รวมทั้งวิธีการเหล่านี้ จะต้องสอดคล้องกับทรัพยากร (Resource) ที่มีอยู่
4.ออกแบบและปฏิบัติ (Design and making)
ขั้นตอนนี้ต้องการให้นักเรียนรู้จักคิดออกแบบ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเครื่องใช้เสมอไป อาจเป็นวิธีการก็ได้ และการออกแบบไม่จำเป็นต้องเขียนแบบเสมอไป อาจเป็นแค่ลำดับความคิด หรือจินตนาการให้เป็นขั้นตอนซึ่งรวมปฏิบัติการลงไปด้วย นั่นคือเมื่อออกแบบแล้วต้องลงมือทำ และลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ออกแบบไว้
5.ทดสอบ (Testing to see if it works)
เป็นการนำสิ่งประดิษฐ์หรือวิธีการนั้นทดลองใช้เพื่อทดสอบว่าใช้งานหรือทำงานได้ หรือไม่มีข้อบกพร่องอย่างไร ถ้ายังไม่ได้ก็ไปสู่ขั้นตอนต่อไป คือ ปรับปรุง แก้ไข


6.การปรับปรุง (Modification and improvement)
หลังจากการทดสอบผลแล้วพบว่า สิ่งประดิษฐ์ที่สร้างขึ้น หรือวิธีการที่คิดขึ้นไม่ทำงานมีข้อบกพร่อง ก็ทำการปรับปรุงแก้ไข โดยอาจเลือกวิธีการใหม่ก็ได้คือย้อนไปขั้นตอนที่ 3
7.ประเมินผล (Assessment)
หลังจากปรับปรุงแก้ไขจนใช้งานได้ดีตามวิธีการที่ออกแบบแล้ว ก็นำมาประเมินผลโดยรวมโดยพิจารณาดังนี้
• สิ่งประดิษฐ์สามารถแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่ระบุไว้ได้หรือไม่
• สวยงาม ดึงดูดใจผู้ใช้หรือไม่
• แข็งแรงทนทานต่อการใช้งานหรือไม่
• ต้นทูนสูงเกินไปหรือไม่



การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
ไม่ว่าเราจะทำงานใดก็ตาม ปัญหาเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแก้ปัญหามีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของาน วิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งอาจแก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ และการแก้ปัญหาอาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น จึงควรยึดหลักการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลงทาง และสับสน วิธีการแก้ปัญหาแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับงานแตกต่างกันไป ก่อนที่จะใช้วิธีแก้ปัญหา ด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ จะขอยกวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอนโดยทั้วไป มาให้พิจารณาดูจำนวนหนึ่ง
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนมากจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถทำซ้ำได้ง่ายในกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยแก้ปัญหา จำเป็นต้องปรับรูปแบบวิธีการทำงานให้เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นวิธีคล้ายกับการแก้ปัญหาทางวิศวกรรมมาก แต่ในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานใดๆ ก็ตาม จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหาและศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบคอบเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่ใช้เครื่องมือวิเศษที่จะแก้ปัญหได้ทุกเรื่อง
นอกจากนี้ยังจะต้องมีการศึกษาถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เพื่อไม่ให้เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า ต้องเลือกวิธีการแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับงาน จัดหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ไม่เกินความจำเป็น
การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เหมาะกับระบบงานที่ต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งซากและมีปริมาณงานมากหรืองานที่ต้องการความรวดเร็วในการคำนวณเกินกว่าคนธรรมดาจะทำได้ วิธีการโดยทั่วไปคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการหรือระบบการทำงานแบบเดิม มาใช้ระบบงานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทำงานเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด เท่าที่สามารถจะทำแทนคนได้ 


ตัวอย่างการสร้างสิ่งของเครื่องใช้ตามกระบวนการเทคโนโลยี

1. ชั้นวางของอเนกประสงค์ติดล้อ สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกและช่วยผ่อนแรงในการเคลื่อนย้าย เพราะมีล้อเป็นเทคโนโลยีตัวช่วย



2. ตู้ยาสามัญประจำบ้านมีไฟและมีเสียงเพลง การมีตู้ยาที่มีไฟส่องสว่างจะช่วยให้สามารถหยิบใช้ยาได้ถูกต้องในเวลากลางคืนหรือตอนมืดที่มองไม่เห็น และถ้าตู้ยามีเสียงดนตรีประกอบด้วยเวลาเปิดตู้ยาก็จะทำให้เกิดความเพลิดเพลิน ซึ่ง การต่อวงจรไฟฟ้าและเสียงดนตรีถือเป็นกระบวนการทางเทคโนโลยี

ที่มา :http://www.nrw.ac.th/krumod/e-learning/Unit5-3-2.html 


หน่วยการเรียนรุ้ที่ 4 การเพราะปลูกพืช

หน่วยการเรียนรุ้ที่ 4 การเพราะปลูกพืช

  1. การเตรียมดินก่อนการปลูกพืช

    การเตรียมดินเป็นหัวใจของการปลูกพืชทั้งพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ซึ่งมีหลักการคล้ายคลึงกัน คือ ก่อนปลูกพืชจำเป็นต้องพิจารณาสภาพพื้นที่ เนื้อดิน ปัญหาของดิน ชนิดพืชที่ปลูกเพื่อให้มีการเตรียมดินที่เหมาะสมและประสบผลสำเร็จในการปลูกพืช การเตรียมดินสำหรับการปลูกพืชจะแตกต่างกันตามชนิดของพืชดังนี้

    การเตรียมดินสำหรับการปลูกผัก

    การเตรียมดินปลูกผักจำเป็นต้องมีการเตรียมดินอย่างดีเพื่อให้เมล็ดผักซึ่งมีขนาดเล็กมีการงอกที่ดี ควรไถดินลึก 6-8 นิ้ว พริกหน้าดินตากไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อฆ่าไข่แมลงและศัตรูพืชบางชนิด แล้วจึงไถคราดเพื่อกำจัดวัชพืชออกให้หมดทำการยกแปลงขนาดของแปลงขึ้นกับชนิดพืชผักที่ปลูก ถ้าดินมีปัญหาโดยมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างต่ำกว่า 6.5 ควรใส่ปูนขาวอัตรา 100-300 กก./ไร่ การหว่านปูนขาวจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในดิน ในพื้นที่ภาคใต้ก็ใช้หินปูนฝุ่นอัตรา 1000-1500 กก./ไร่ วัสดุปูนขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่ามีปูนชนิดใดก็ใช้ตามที่มีในพื้นที่นั้น ในขณะใส่ปูนดินควรมีความชื้นเพื่อให้ปูนมีการทำปฏิกิริยากับดินได้เร็วยิ่งขึ้นและควรปล่อยไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ในขณะพรวนดินหลังจากยกแปลงแล้วให้ใส่ปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์ เช่น ขี้เป็ด ขี้ไก่ หรือ ขี้หมู จะทำให้ดินร่วนซุย เตรียมดินง่ายและทำให้ดินมีความอุ้มน้ำดี มีการระบายน้ำและอากาศดีขึ้น นอกจากนี้ยังให้ธาตุอาหารแก่ดินในระดับหนึ่ง

    พืชผักบางชนิดที่ต้องเพาะเมล็ดปลูกแปลงเพาะกล้าควรมีขนาดกว้าง 1 เมตร การเตรียมดินควรทำอย่างดีเช่นเดียวกันโดยยกหน้าดินให้สูงประมาณ 10 ซม. ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อให้ดินร่วนซุย แต่งหน้าดินให้เรียบ สำหรับพืชผักที่ปลูกโดยหว่านเมล็ดลงแปลง เมื่อหว่านเมล็ดแล้วให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วโรยทับลงไปบางๆคลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ ส่วนพืชผักที่ปลูกเป็นหลุมก็เช่นเดียวกันเมื่อหยอดเมล็ดแล้วกลบด้วยดินละเอียดที่ผสมด้วยปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก

    การเตรียมดินสำหรับปลูกไม้ผล
    ไม้ผลเป็นพืชที่มีระบบรากลึก การเตรียมดินก่อนปลูกจึงต้องเตรียมให้ดีเพราะหลังจากปลูกไปแล้วไม่สามารถพรวนดินใส่ปุ๋ยในดินระดับล่างได้อีก การเตรียมดินอย่างดีจะช่วยให้ไม้ผลเจริญเติบโตเร็วกว่าการปลูกแบบไม่เตรียมหลุม การเตรียมหลุมไม่ดีถึงแม้ว่าจะใส่ปุ๋ยเร่งการเจริญเติบโตภายหลังปลูก พบว่าไม้ผลก็ยังมีการเจริญเติบโตช้ากว่าต้นที่มีการเตรียมหลุมปลูกอย่างดี การเตรียมหลุมปลูกไม้ผล ขนาดของหลุมปลูกจะแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช ถ้าเป็นไม้ผลขนาดใหญ่ เช่น ทุเรียน หลุมปลูกควรมีขนาดกว้าง x ยาว 1 x 1 เมตร ลึกประมาณ 80 ซม. ไม้ผลขนาดกลาง เช่น ลองกองควรมีขนาด 80 x 80 ซม. ลึก 60 ซม. การกำหนดขนาดของหลุมปลูกเพื่อให้รากของต้นกล้าเจริญเติบโตได้ดีในระยะแรก และควรใช้ปุ๋ยรองก้นหลุมพวกร็อคฟอสเฟต 1-2 กระป๋องนมจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของราก สำหรับสภาพพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืช เช่น สภาพดินเป็นหินจัดและมีระดับน้ำใต้ดินสูงก็ควรปลูกแบบนั่งแท่นหรือปลูกแบบยกโคกจะเหมาะสมที่สุด การปลูกแบบนั่งแท่นจะขุดหลุมปลูกแต่ไม่ลึกมากและปรับหน้าดินให้ร่วนซุย นำต้นกล้าวางบนหลุมจัดรากให้ออกมาในแนวรัศมีรอบต้น กลบด้วยดินพูนให้เป็นโคก ค้ำยัน3 ขา หรือใช้ไม้เสียบค้ำยันไว้จนต้นกล้าตั้งตัวได้ การเตรียมดินปลูกโดยทั่วไป  ดังรูป


    ดินบน+ปุ๋ยหินฟอสเฟท 1 กระป๋องนม+ปูนขาว1-2 กำมือ+ปุ๋ยคอกเก่าหรือปุ๋ยหมักจากพด.1 หรือเศษใบไม้แห้ง1-2 ปีบ สำหรับดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำควรเพิ่มอัตราการใช้ให้มากขึ้น

    การเตรียมดินสำหรับพืชไร่
    พืชไร่เป็นพืชที่มีระบบรากตื้น เช่น ข้าวโพด อ้อย สับปะรด และมันสำปะหลัง ส่วนใหญ่แล้วดินที่เหมาะสมสำหรับพืชไร่ควรเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี สภาพพื้นที่เป็นที่ดอน ดังนั้นการเตรียมดินควรมีการไถดะในช่วงฤดูแล้งและตากดินไว้ 7-10 วัน เพื่อให้วัชพืชแห้งตาย ก่อนปลูกไถแปรโดยใช้ผาล 7 สำหรับพื้นที่ที่มีความลาดเทให้ไถขวางความลาดเททั้งผาล 3 และ ผาล 7 บางพื้นที่ที่มีสภาพดินแน่นทึบ ดินมีชั้นดานที่เกิดจากการไถพรวน ควรใช้ไถเบรกดินดาน โดยไถลึกให้ถึงชั้นดาน จะช่วยให้น้ำสามารถซึมลงไปได้ดี ทำให้พืชไร่บางชนิด เช่น มันสำปะหลังหัวไม่เน่าเสียหาย หลังจากนั้นหว่านปูนขาวเพื่อปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน  ปัจจุบันพบว่า ดินส่วนใหญ่ของประเทศที่ใช้ปลูกพืชไร่มีความเป็นกรดเนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีมาเป็นเวลานานจึงควรหว่านปูนขาวในอัตรา 500-600 กก./ไร่ สำหรับดินที่เป็นกรดเล็กน้อย โดยใส่ทุกๆ 2 ปี จะช่วยเพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารในดินแก่พืช ขณะหว่านปูนขาวดินควรมีความชื้นและทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็สามารถยกร่อง หรือยกแปลงปลูกพืชได้

    การเตรียมดินที่ดีที่สุดควรปลูกพืชปุ๋ยสดพวก ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม หรือปอเทือง แล้วไถกลบช่วงออกดอกจะช่วยเพิ่มอุดมสมบูรณ์ของดินรวมทั้งช่วยในด้านความสามารถในการอุ้มน้ำและการระบายน้ำและอากาศของดินให้ดีขึ้นถ้าปลูกพืชปุ๋ยสดได้ทุกปีก่อนปลูกพืชจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่สามารถปลูกได้ก็อาจปลูกทุกๆ 2-3 ปี จะช่วยให้ดินไม่เสื่อมโทรมมากและพื้นที่ปลูกพืชสามารถให้ผลผลิตเป็นระยะเวลายาวนานขึ้น

    การเตรียมดินสำหรับพืชไร่จำพวกหัวควรมีการยกร่องเพื่อให้มีการลงหัวได้ดีระยะระหว่างร่องขึ้นอยู่กับชนิดพืชที่ปลูก เช่น มันสำปะหลัง อ้อย และสับปะรด ควรยกร่องกว้าง1 เมตร 1.20 เมตร และ 1 เมตร ตามลำดับ การปลูกพืชไร่ในช่วงต้นฤดูฝนควรยกร่องเพื่อไม่ให้มีน้ำแช่ขัง สำหรับอ้อยควรยกร่องปลูกเช่นเดียวกัน เพื่อใช้วางท่อนพันธุ์ในร่อง และกลบดินโคนต้นในช่วงทำรุ่นและใส่ปุ๋ย สำหรับพื้นที่ลุ่มการปลูกพืชไร่ควรทำร่องระบายน้ำออกจากพื้นที่และพื้นที่ดอนที่มีความลาดเทการเตรียมดินควรเว้นระยะเป็นแนวขวางความลาดเทสำหรับปลูกหญ้าแฝก 1แถวสลับกับการปลูกมันสำปะหลังประมาณ 30-40 แถว เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ด้านบนมายังพื้นที่ด้านล่าง


  2. 1.ความหมายและความสำคัญของการผลิตพืช
    1.1 ความหมายของการผลิตพืช
    การผลิตพืช หมายถึง การดำเนินงานปฏิบัติการปลูกพืชตามลำดับขั้นตอนที่ก่อให้เกิดผลผลิตตามต้องการ ซึ่งขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่ การศึกษาข้อมูลและวางแผนปลูกพืช การเตรียมพันธุ์พืช การเตรียมดิน การปลูก การปฏิบัติดูแลบำรุงรักษาและการจัดการผลผลิต
    1.2 ความสำคัญของการผลิตพืช
    สิ่งมีชีวิตทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์และสัตว์ต้องการพืชเป็นอาหารสำหรับบริโภคในชีวิตประจำวันเพื่อการเจริญเติบโตและดำรงชีวิต พืชถูกมนุษย์และสัตว์ใช้เป็นอาหารทุกวัน โดยไม่มีการปลูกขึ้นมาทดแทน นับวันจะหมดไปหรือสูญพันธุ์ไป ประกอบกับจำนวนประชากรมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี ความสำคัญของพืชจึงมีมากขึ้น เพราะถ้าหากขาดแคลนจะเกิดความอดอยาก แย่งชิงอาหารกันบ้านเมืองเกิดจลาจลวุ่นวาย ดังนั้นคนเราจึงต้องหาแนวทางผลิตพืชให้ดำรงคงอยู่ตลอดไป การผลิตพืชจึงมีความสำคัญดังนี้

        ก่อให้เกิดปัจจัย 4 ของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย
        ก่อให้เกิดงานเลี้ยงสัตว์ โดยให้พืชเป็นอาหารสำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง ส่งผลให้คนเราได้เลี้ยวสัตว์สำหรับบริโภค จำหน่าย หรือเลี้ยงไว้ดูเล่นเป็นงานอดิเรก
        ก่อให้เกิดงานอาชีพและงานต่อเนื่องเกี่ยวกับการปลูกพืช ทำให้ผู้ปลูกพืชหรือชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวและเศรษฐกิจของประเทศ
        ก่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ร่มรื่นสวยงาม โดยเฉพาะระบบนิเวศที่ทำให้พืชและสัตว์ร่วมกัน สร้างความสมดุลทางธรรมชาติ เกิดฝนตกต้องตามฤดูกาล ป่าไม้ชุ่มชื้น รักษาสภาพดินไม่ให้เกิดการพังทลายหรือดินถล่ม

    2.การศึกษาข้อมูลและการวางแผนผลิตพืช
    2.1 การศึกษาข้อมูลผลิตพืช เป็นการเริ่มดำเนินงานแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพืชที่จะปลูก ทั้งนี้เพื่อจะได้เรียนรู้ให้ประชากรปลูกพืชได้ตามความต้องการและสนใจ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาหลายด้านดังนี้

        หนังสือ ตำรา เอกสาร วารสาร และสิ่งพิมพ์ต่างๆ
        ข่าวจากอินเตอร์เน็ต โดยศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งของราชการและเอกชน
        แหล่งวิชาการเกษตรในท้องถิ่น

    2.2 การวางแผนการผลิตพืช เป็นการกำหนดการปฏิบัติงานปลูกพืชพร้อมระยะเวลา และผู้รับผิดชอบไว้ล่วงหน้า เพื่อการปฏิบัติงานดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว และเรียบร้อย
    การวางแผนการปฏิบัติงานประกอบด้วย

        ชื่อพืชที่จะปลูก
        จุดประสงค์
        แผนการปฏิบัติงานระยะเวลา และผู้รับผิดชอบ

    3.การเตรียมพันธุ์พืช
    3.1 ลักษณะของเมล็ดที่ดี ต้องสมบูรณ์อวบอ้วน ไม่มีร่องรอยแมลงกัดกิน ไม่มีสิ่งเจือปนอยู่ในเมล็ด เช่นกรวด ทราย มีเปอร์เซ็นการงอกดี มีการรับรองอายุการงอก
    3.2 ลักษณะของต้นกล้า มีใบจริง 3-4 ใบ ลำต้นอวบสมบูรณ์ ใบเขียวตามธรรมชาติ ไม่มีร่องรอยของศัตรูพืชเข้าทำลาย
    4. การเตรียมดินปลูกพืช
    พืชที่เราจะปลูกจะเจริญเติบโตดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเตรียมดิน ถ้าหากนักเรียนเตรียมดินดี คือ มีอาหารพืชอุดมสมบูรณ์เหมาะกับชนิดของพืชที่ปลูกจะทำให้พืชของเรางอกงาม แข็งแรงเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตสูง แต่ถ้าเราเตรียมดินไม่ถูกต้อง ขาดการใส่ปุ๋ยหรืออาหารพืชที่เหมาะสม พืชจะเจริญเติบโตช้า แคระแกร็น และให้ผลผลิตต่ำ



  3. เครื่องมือการเกษตร อุปกรณ์การเกษตร เครื่องจักร


    เครื่องมือการเกษตรเป็นเครื่องมือของเกษตรกรในการเพาะหรือขยายพันธุ์  ซึ่งผู้ใช้ควรได้ศึกษาถึงวิธีการใช้  การดูแลรักษา  เพื่อให้เครื่องมือมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและควรรู้จักการป้องกัน อุบัติเหตุทั้งผู้ใช้และผู้ที่อยู่ใกล้เคียง  การเลือกเครื่องมือที่ดีจะทำให้ได้รับผลประโยชน์หรือได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี
    ประเภทเครื่องมือเกษตร…..แบ่งตามลักษณะของการใช้งานดังนี้
    UploadImage
    1.เครื่องมือที่ใช้กับงานดิน…เครื่องมือประเภทนี้ใช้สำหรับการทำงานเกษตรที่เกี่ยวข้องกับดิน
    2.เครื่องมือใช้ในการให้น้ำเครื่องประเภทนี้ส่วนใหญ่ใช้ในการดูแลพืช
    3.เครื่องมือตัดแต่งกิ่งและขยายพันธ์พืช
    เครื่องมือเกษตรเกี่ยวกับดิน เครื่องมือเกษตรเกี่ยวกับพืช
    เครื่องมือที่ใช้กับดินมี 6 ชนิด เครื่องมือที่ใช้กับพืชมี 5 ชนิด
    1.[ช้อนปลูก] 1.บัวรดน้ำ
    2.[ส้อมพรวน] 2.ถังน้ำ 3.[คราด] 3.กรรไกรตัดหญ้า 4.[เสียม] 4.มีดดายหญ้า 5.[จอบ 5.กรรไกรตอนกิ่ง 6.[พลั่ว]เครื่องมือเกี่ยวกับดิน
    จอบ ใช้สำหรับ ขุดดินถางหญ้าขุดแปลง หรือใช้สำหลับขุดหลุมใหญ่ๆ
    ส้อมพรวน ใช้สำหลับพรวนดินรอบๆต้นพืช
    ความปลอดภัยในการใช้ ก่อนใช้ควรตรวจดูว่าจอบเข้าด้ามแน่นหนาหรือไม่ขณะที่ ใช้จอบต้องระวังเพื่อนที่อยู่ข้างเคียงและเท้าของผู้ใช้ด้วย
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    หลังจากใช้แล้วล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง ทาน้ำมันกันสนิมแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
    ส้อมพรวน
    ใช้สำหรับพรวนดินรอบ ๆ ต้นพืช ไม่ควรใช้พรวนในดิน แข็ง เพราะจะหักและงอง่าย
    ความปลอดภัยในการใช้
    ไม่ควรเล่นกันในขณะทำงาน เพราะ ส้อมพรวนมีความแหลมคม อาจจะได้รับอันตรายจากการใช้ได้ ถ้าผู้ใช้ขาด ความระมัดระวัง
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    ภายหลังการใช้ควรล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง ทาน้ำมันกันสนิมแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

    คราด
    ใช้สำหรับย่อยดินและเก็บเศษหญ้า แต่งแปลงปลูก การ จับคราดใช้มือทั้งสองจับด้ามคราดให้ห่างกันพอสมควร แล้วถึงเข้าหาตัว
    ความปลอดภัยในการใช้
    ก่อนใช้ควรตรวจดูว่าคราดอยู่ในสภาพที่ ใช้ได้หรือไม่ ขณะใช้ควรระมัดระวังไม่ให้ด้ามคราดไปถูกคนใกล้เคียง
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    หลังจากใช้แล้วล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง ทาน้ำมันกันสนิมแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

    เสียม
    ใช้สำหรับขุดหลุมปลูกต้นไม้ ส่วนมากนิยมใช้ขุดหลุมขนาด เล็กลึก หรือใช้ในบริเวณแคบไม่เหมาะกับการใช้จอบ เวลาขุด ใช้มือทั้งสองข้างจับด้ามเสียมให้มือยู่ห่างกันพอสมควร แล้วกด ปลายเสียมลงไปในดิน
    ความปลอดภัยในการใช้
    ก่อนใช้ควรตรวจสภาพของเสียมเสียก่อน ขณะปฏิบัติงานให้ ระมัดระวังไม่ให้ด้ามเสียมไปโดนคนข้างเคียงที่ยืนอยู่ได้
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    ภายหลังการใช้ควรล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้ง ทาน้ำมันกันสนิมแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

    พลั่ว
    ใช้สำหรับตักวัสดุที่ใช้ในการเกษตร เช่น ดิน ปุ๋ย
    ความปลอดภัยในการใช้
    ก่อนใช้ควรตรวจดูว่าชำรุดหรือไม่ เพื่อจะได้ซ่อมให้เรียบ ร้อย ในขณะที่ใช้ตักดิน ควรระวังไม่ให้ถูกเท้าและคนข้างเคียง
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    หลังจากการใช้ทุกครั้ง ล้างน้ำให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง ทาน้ำมันกันสนิมแล้วเก็บเข้าที่
    เครื่องมือเกี่ยวกับพืช

    บัวรดน้ำ
    ใช้สำหรับรดน้ำพืช น้ำที่ออกจากฝักบัวจะเป็นฝอยกระจายทั่วต้นพืช ทำให้พืชได้รับน้ำอย่างทั่วถึง และส่วนต่าง ๆ ของพืชไม่หักง่าย การใช้ บัว รดน้ำ ถ้าไม่ระมัดระวังจะเสียหายง่ายที่ส่วนคอของ ฝักบัวจึงควรจับที่หูหิ้วหรือที่มือจับเท่านั้น
    ความปลอดภัยในการใช้
    ก่อนใช้ควรตรวจดูสภาพของบัวรดน้ำตรงที่มือจับหรือหูหิ้วเสียก่อน ถ้าชำรุดควรซ่อมให้เรียบร้อยก่อนนำไปใช้ และขณะที่ใช้ต้องจับถือให้แน่นเพื่อไม่ให้ตกลงเท้า
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    ภายหลังการใช้แล้ว ควรล้างทำความสะอาดถังตัวถังและฝักบัว อย่าให้เศษหญ้าหรืออย่างอื่นอุดตัน แล้วคว่ำเก็บเข้าที่

    กรรไกรตัดหญ้า
    ใช้สำหรับตัดหญ้าหรือตกแต่งรั้วต้นไม้หรือตัดหญ้าในสนามที่มีมุมแคบ
    ความปลอดภัยในการใช้
    ขณะที่ใช้ควรระมัดระวังคนที่อยู่ข้างเคียง ไม่ควรใช้มือจับ ใกล้โคนกรรไกรมากเกินไป มือจะพลาดไปถูกคมของกรรไกรได้ ขณะใช้ควรระวังไม่ให้ปลายกรรไกร ไปถูกผู้อื่นด้วย
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    ภายหลังการใช้ควรล้างทำความสะอาดเช็ดให้แห้ง ทาน้ำมัน กันสนิม หยอดน้ำมัน เก็บเข้าที่ โดยการแขวน

    มีดดายหญ้า
    ใช้สำหรับดายหญ้าหรือถางหญ้าที่ขึ้นสูง ซึ่งไม่สามารถที่ จะใช้กรรไกรตัดหญ้าได้
    ความปลอดภัยในการใช้
    ก่อนใช้ควรตรวจดูว่าด้ามแน่นดีหรือไม่ ขณะใช้มีดดายหญ้าต้องระมัดระวังให้มาก เพราะมีดดายหญ้ามีความคม อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้และผู้ที่อยู่ข้างเคียง ควรคำนึงถึงรัศมีของมีด ไม่ควรใช้มีดดายหญ้าแกว่งเล่นหยอกล้อกัน
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    เมื่อใช้มีดดายหญ้าแล้ว ควรล้างทำความสะอาดโดยใช้ผ้า เช็ดให้แห้ง ทาน้ำมันกันสนิม ด้วยจะช่วยรักษาคมมีดให้อยู่ได้ นาน แล้วเก็บเข้าที่

    กรรไกรตัดกิ่ง
    ใช้สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ขนาดเล็ก เช่น กิ่งที่แห้งไม่ สมบูรณ์ เป็นโรคและแมลงกัดกิน หรือใช้ตัดแต่งพืชที่มี ใบและกิ่งหนา เกินไป ก่อนใช้ควรปลดที่รัดสปริงออก ใช้มือที่ผู้ใช้ถนัดจับโดยใช้อุ้งมือบริเวณนิ้วหัวแม่มือบังคับกรรไกร ตอนบนในการตัดกิ่ง
    ความปลอดภัยในการใช้
    ขณะตัดแต่งกิ่งควรใช้อย่างระมัดระวังโดยไม่ให้หลุดมือหรือแกว่งเล่น
    การทำความสะอาดและเก็บรักษา
    ภายหลังการใช้ควรล้าง เช็ดทำความสะอาด ทาน้ำมัน กันสนิม และหยอดน้ำมันตรงสปริงขากรรไกร แล้วเก็บเข้าที่ โดยการแขวน
  4. ที่มา:http://jiraporn-unit4.blogspot.com

หน่วยที่ 3 อาหารเเละโภชนาการ

หน่วยที่ 3 อาหารเเละโภชนาการอาหารและโภชนาการ



คำนำ
เรื่องที่แปลกแต่จริงก็คือ ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ หรือ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แต่จากผลของการสำรวจปรากฎว่า ประชาชนคนไทยยังเป็นโรคขาดอาหารกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุสำคัญ ๒ ประการ คือ การไม่รู้จักกิน กับการไม่มีจะกิน
การไม่รู้จักกินนั้น จะแก้ได้ก็โดยการศึกษา การอบรมและการโฆษณาให้ประชาชนได้ทราบถึงผลร้ายของการขาดธาตุอาหาร สอนให้รู้จักการกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ  การปรับปรุงวิธีเตรียมอาหาร  การทำความสะอาดอาหารและภาชนะที่ใช้กิน การส่งเสริมให้รู้จักกินอาหารอันมีคุณค่าที่มีอยู่ ตลอดจนการอบรมให้เปลี่ยนนิสัยการกินหรือการอดของแสลง
ส่วนการไม่มีจะกินนั้น เป็นปัญหาใหญ่ซึ่งจำจะต้องอาศัยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายและทุกระดับ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้พอเพียงในแต่ละท้องถิ่น ส่งเสริมการทำสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ ส่งเสริมให้มีการปลูกไม้ผลยืนต้น สอนให้รู้จักวิธีถนอมอาหารไว้กินนอกฤดูกาล  ตลอดจนการบริการในเรื่องคมนาคม  ซึ่งเปรียบเสมือนหลอดเลือดของร่างกายให้ดีขึ้นด้วย
การยกระดับการกินอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้น  เพื่อให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง สุขภาพสมบูรณ์ สติปัญญาดี จัดว่าเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ
การกินอยู่ดีเศรษฐกิจดีสุขภาพดี
จึงเป็นเรื่องที่ควรจะได้มีการจัดการกันอย่างรีบด่วน  และเพื่อเป็นการสนับสนุน แพทยสมาคมฯ จึงขอนำเรื่องอาหารและโภชนาการมาบรรยายพอสังเขป และใครเน้นเป็นพิเศษถึงเรื่องสารอาหารที่ประชาชนชาวไทยมักขาดกันมาก  เพื่อจะได้ทราบและหาทางป้องกันการขาดสารอาหารเหล่านี้  จะได้ช่วยให้มีการกินดีอยู่ดีและเป็นกำลังของชาติ  ในการช่วยพัฒนาประเทศอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
อาหารคืออะไร
อาหารคือสิ่งที่บริโภคได้  และมีประโยชน์แก่ร่างกาย
ประโยชน์ของอาหาร
๑.  ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต แข็งแรง และซ่อมแซม สิ่งที่สึกหรอ
๒.  ช่วยให้พลังงานและความอบอุ่น
๓.  ช่วยสร้างกำลังเพื่อต้านทานโรค บำรุงสุขภาพ ช่วยให้อายุยืนยาว ผิวพรรณเปล่งปลั่ง  ดวงตาแจ่มใส ฟันดีแข็งแรง ผมดกดำ และไม่แก่ก่อนวัย
๔.  ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพปกติ
นี้เป็นหลักการใหญ่ ๆ ส่วนผลพลอยได้อย่างอื่นนั้นยังมีอีกมาก อาทิเช่น ทำให้มีสมรรถภาพในการทำงาน ทำให้ปัญญาดี ซึ่งจะช่วยให้เด็กนักเรียนสอบตกน้อยลง ทำให้นักกีฬามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้อารมณ์ดีไม่เกิดโมโหหิว ฯลฯ พระบรมศาสดาได้ทรงทดลองมาก่อนแล้ว ทรงพบว่าการอดอาหารจะไม่สามารถทำให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้  ครั้นได้เสวยเป็นปกติแล้วจึงทรงตรัสรู้  พระองค์จึงได้ทรงสอนว่าอาหารเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในสี่อย่างที่จำเป็นสำหรับการครองชีพของมนุษย์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาหารและโภชนาการ
โภชนาการคืออะไรอาจมีผู้สงสัยว่า  มนุษย์รู้จักกินมาตั้งแต่เกิด และกินกันมาตั้งแต่เมื่อ
โภชนาการเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องความสำคัญของอาหารต่อสุขภาพของร่างกายมีมนุษย์อยู่ในโลกแล้ว  ทำไมจะต้องมาเรียนวิชาโภชนาการด้วย ก็อาจกล่าวได้ว่า  การกินโดยไม่มีความรู้ย่อมเป็นเหตุให้ป่วยไข้และสุขภาพทรุดโทรมได้โดยง่าย  เนื่องจากการขาดสารอาหารได้ทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่เต็มกระเพาะ  เพราะไม่รู้จักกิน  สถิติแสดงว่าในระยะ ๕๐ ปีมานี้  ความรู้ในเรื่องโภชนาการได้ช่วยให้คนอายุยืนยาวเพิ่มจาก ๔๕ ปีเป็น ๗๐ ปี ช่วยให้สูงขึ้น ๕ เซนติเมตร และน้ำหนักเพิ่มขึ้น ๕ กิโลกรัม ส่วนประเทศที่ด้อยพัฒนา  ยังเป็นโรคขาดอาหารกันมาก  อายุเฉลี่ยของคนจะอยู่ระหว่าง ๓๓-๕๐ ปีเท่านั้น  เนื่องจากอัตราตายของทารกและเด็กสูง และสุขภาพก็ไม่ดี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โภชนาการคืออะไรฃ

ในทางโภชนาการ  เราแบ่งอาหารออกได้เป็น ๖ พวก ตามส่วนประกอบทางเคมี  และตามหน้าที่อันพึงมีต่อร่างกาย เรียกสารอาหารหรือธาตุอาหาร ดังนี้
๑.  ธาตุน้ำตาล  ช่วยให้พลังงานและความร้อนแก่ร่างกาย
๒.  ธาตุไขมัน  ช่วนให้พลังงานและความร้อน กับให้กรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกาย
๓.  ธาตุเนื้อ  ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมสิ่งสึกหรอ ช่วยสร้างกำลังเพื่อต้านทานโรค  ให้พลังงาน และให้กรดอะมิโนที่จำเป็นแก่ร่างกาย
๔.  เกลือแร่  มีอยู่หลายสิบชนิดด้วยกัน  ช่วยในการสร้างกระดูก ฟัน และเลือด ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอ กับช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
๕.  วิตามิน  มีอยู่กว่าสิบชนิด  แบ่งออกได้เป็น ๒ พวกใหญ่ คือ พวกที่ละลายในน้ำและที่ละลายในน้ำมัน  ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
๖.  น้ำ  มีความสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของเซลล์  ช่วยการไหลเวียนของเลือด การย่อยอาหารและการขับถ่าย ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น ความสำคัญของน้ำต่อร่างกายนั้นมีมาก  เพราะเป็นส่วนประกอบถึง ๗๐℅ ของน้ำหนักตัว จะเห็นได้ง่าย ๆ ว่าในรายที่ท้องร่วง  จะทำให้ร่างกายหมดเรี่ยวแรงจนถึงกับตายได้
ทั้งนี้เนื่องจากการที่ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำนั่นเอง  ฉะนั้นนอกจากเราจะได้รับน้ำจากอาหารต่าง ๆ แล้ว ยังต้องดื่มน้ำอีกวันละหลาย ๆ แก้ว
อาหาร ๕ หมู่
เนื่องจากอาหารที่เรากินนั้นมีมากมาย  แต่ละชนิดก็มีธาตุอาหารอยู่มากน้อยแตกต่างกันไปตามธรรมชาติ  จึงนิยมจัดเข้ารวมไว้เป็นพวกเป็นหมู่  โดยถือเอาความสำคัญที่จะได้รับประโยชน์ของธาตุอาหารเป็นหลัก  ดังนี้
๑.  หมู่ข้าว  มีธาตุน้ำตาลเป็นสำคัญ  ได้แก่ข้าว ข้าวโพด น้ำตาล เผือก มัน และของหวานต่าง ๆ
๒.  หมู่เนื้อ  มีธาตุเนื้อเป็นสำคัญ  นอกจากนี้ยังมีเกลือแก่และวิตามินด้วยได้แก่เนื้อสัตว์  นม ไข่ ปลา หอย เลือด อวัยวะเครื่องใน และพวกถั่วนานาชนิด
๓. หมู่ไขมัน  มีธาตุไขมันเป็นสำคัญ มีวิตามินที่ละลายในไขมันได้วย  ได้แก่น้ำมันจากพืชและจากสัตว์ เช่นน้ำมันหมู น้ำมันรำ น้ำมันถั่ว ไข่แดง เนย นม และมะพร้าว
๔.  หมู่ผัก  มีเกลือแร่และวิตามิน
๕. หมู่ผลไม้ มีเกลือแร่ วิตามิน และธาตุน้ำตาล

นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุงรสต่าง ๆ  ซึ่งช่วยให้รสชาติหรือกลิ่นของอาหารดีขึ้น เช่น เครื่องเทศ น้ำปลา พริกป่น พริกไทย น้ำส้ม ฯลฯ ถึงแม้ว่าเราจะกินกันไม่มากมายนัก  แต่ก็นับว่ามีความสำคัญในการที่ช่วยให้กินอาหารได้มากขึ้น กับช่วยให้ร่างการได้รับธาตุเนื้อ เกลือแร่ และวิตามินบางอย่างด้วย แต่ถ้ากินมากเกินไป  เช่นพริกหรือเครื่องเทศ ก็อาจเป็นผลร้าย ทำให้เกิดเป็นโรคแผลของกระเพาะอาหารได้  จึงต้องพึงระวัง และโดยที่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารหลายอย่าง  ซึ่งจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแตกต่างกัน  แต่ไม่มีอาหารชนิดใดเพียงชนิดเดียว  ที่จะมีสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย  ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ เราจึงต้องกินอาหารให้ครบทั้ง ๕ หมู่ เพื่อให้ได้ธาตุอาหารครบถ้วน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาหาร ๕ หมู่
ภาวะโภชนาการในคนไทย
จากการสำรวจภาวะโภชนาการในคนไทยเรา ปรากฎว่าผู้ที่มีฐานะดีหรือชาวกรุงชักจะเริ่มเป็นโรคอ้วนกันมาก  ส่วนผู้ที่อยู่ตามชนบทยังเป็นโรคขาดอาหารกันมาก  โดยเฉพาะคือธาตุเนื้อ-ทำให้เกิดโรคตาลขโมย  ขาดวิตามินเอ-ทำให้เป็นโรคตาฟาง ขาดวิตามินบีหนึ่ง-ทำให้เป็นโรคเหน็บชา  ขาดวิตามินบีสอง-ทำให้เกิดเป็นโรคปากนกกระจอก  ขาดธาตุเหล็ก-ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง  ขาดธาตุไอโอดีน-ทำให้เป็นโรคคอพอก  ขาดธาตุแคลเซี่ยม-ทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน  ทั้งนี้เนื่องจากเรายังไม่รู้จักกิน หรือกินไม่เป็น เข้าใจไปว่าการกินข้าวมากจนอิ่มท้องก็เป็นการเพียงพอแล้ว  โดยที่ไม่รู้ถึงความสำคัญของสารอาหารแต่ละชนิด  รวมทั้งเกลือแร่ และวิตามิน เราจึงกินข้าว(ธาตุน้ำตาล)กันมากเกินไป แต่หย่อนธาตุเนื้อและไขมัน  ฉะนั้น จึงควรลดข้าวให้น้อยลง และกินกับให้มากขึ้น  ถ้าหากเป็นถิ่นที่เนื้อสัตว์หายาก  ก็พึงกินพวกถั่วต่าง ๆ รวมทั้งอาหารซึ่งทำจากถั่ว เช่น น้ำนมถั่วเหลือง เต้าหู้ เต้าหู้ยี้  ซึ่งใช้แทนพวกเนื้อสัตว์ได้ดี  ส่วนพวกมะพร้าว ถั่ว และน้ำมันพืช  ก็ใช้แทนพวกไขมันสัตว์ได้ดี
อนึ่ง  พึงระลึกไว้เสมอว่า ยอดอาหารของมนุษย์นั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ นมและไข่  โดยที่มีสารอาหารต่าง ๆ เกือบครบถ้วน ฉะนั้น ผู้ที่เกรงว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง  จึงควรกินนมและไข่เป็นครั้งคราว หรือถ้ากินเป็นประจำได้ก็ยิ่งดี
อีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งเป็นสาเหตุช่วยให้ประชาชนเป็นโรคขาดอาหาร  ก็คือการที่มีพยาธิลำไส้อยู่มาก  โดยที่พยาธินานาชนิดเหล่านี้จะคอยดูดเลือด และแย่งอาหารดี ๆ ในลำไส้ไปใช้ ฉะนั้น จึงจำต้องจัดการถ่ายพยาธิออกเสียให้หมด และอบรมประชาชนให้รู้จักกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะด้วย
ธรรมเนียมการอดของแสลงก็เช่นกัน  ควรเลิกเสียในกรณีที่ไม่มีเหตุผลทางวิชาการ เช่นการกินข้าวกับเกลือ หรือปลาแห้งอย่างเดียวเท่านั้นในเวลาคลอดบุตรหรือป่วยไข้ เป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
ควรกินมากน้อยแค่ไหน
ก่อนที่จะทราบว่าควรกินมากน้อยแค่ไหน จำต้องทราบถึงรายจ่ายเสียก่อน  สำหรับผู้ชายไทยที่ทำงานออกแรงปานกลางวันหนึ่ง ๆ ร่างกายใช้พลังงานประมาณ ๒,๐๐๐-๒,๕๐๐ แคลอรี่ ถ้าทำงานหนักหรือออกกำลังกายมาก ๆ ก็จำต้องใช้เพิ่มขึ้นเป็น ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ แคลอรี่  สำหรับผู้หญิงจะใช้น้อยลงประมาณ ๑๕-๒๐℅ ส่วนเด็กเนื่องจากน้ำหนักตัวน้อยจึงต้องการน้อยมากกว่า
อย่างไรก็ดี  ส่วนหนึ่งของพลังงานในเด็กต้องเก็บไว้เพื่อการเจริญเติบโตด้วย ฉะนั้น เมื่อคิดเทียบส่วนแล้วจึงต้องการมากกว่าผู้ใหญ่ กล่าวคือ เด็กต้องการธาตุเนื้อถึง ๓ กรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม  ส่วนผู้ใหญ่ต้องการเพียง ๑ กรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัมเท่านั้น
สารอาหารที่ให้พลังงานมี ๓ อย่างคือ ธาตุน้ำตาล ๑ กรัมให้ ๔ แคลอรี่ ธาตุเนื้อ ๑ กรัมให้ ๔ แคลอรี่ และธาตุไขมัน ๑ กรัมให้ ๙ แคลอรี่
ถ้าเรากินน้อยกว่าที่ร่างกายใช้ ร่างกายก็จำต้องเอาเลือดเนื้อภายในตัวมาใช้  จึงเป็นเหตุให้ผอม  และน้ำหนักลด ตรงกันข้าม  ถ้ากินมากเกินไปก็จะเกิดเป็นโรคอ้วน  โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคแรงดันเลือดสูง ฯลฯ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักกินและพึงระลึกถึงคำสอนของพระบรมศาสดาที่ว่า โภชเน มตฺตญฺญุตา คือเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค อย่ากินให้น้อยไป หรืออย่ากินให้มากไป พึงกินกันแต่พอดี ๆ
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนทั่วไปจึงควรสนใจในเรื่องโภชนาการและมีความรู้ไว้บ้าง จะช่วยให้รูปทรงสวย แข็งแรง สุขภาพดี อายุยืน จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ายาหรือค่ากายบริหาร สมดังสุภาษิตที่ว่า “กันดีกว่าแก้”
ควรกินอาหารชนิดใด
เมื่อเราทราบถึงเรื่องปริมาณและคุณภาพของอาหารแล้ว ก็จะช่วยให้เรามีหลักในการพิจารณาถึงชนิดของอาหารที่ควรกิน เราจะนึกถึงแต่ในแง่ปริมาณอย่างเดียว  เช่นวันหนึ่งจะกินข้าว ๕๐๐ กรัม  เพื่อให้ได้พลังงาน ๒,๐๐๐ แคลอรี่  เช่นนี้ไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงคุณภาพของอาหารด้วย  จึงจำต้องกินอาหารหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้ได้น้ำตาล เนื้อ ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินต่าง ๆ อย่างครบถ้วน
การกินอาหารที่ถูกหลักนั้น  จำต้องกินให้ได้สัดส่วน เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย คือ ควรกินธาตุเนื้อวันละ ๖๐ กรัม(๑๐-๑๕℅) ธาตุไขมัน ๗๐ กรัม (๒๐-๓๐℅) ที่เหลือเป็นธาตุน้ำตาล ๓๐๐-๔๐๐ กรัม (๕๐-๗๐℅)
ในรายที่ต้องทำงานออกแรงมาก  หรือเล่นกีฬากลางแจ้งก็จำต้องได้รับสารอาหารต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามส่วน
การย่อยและการดูดซึมของอาหาร

อาหารที่เรากินเข้าไป มิใช่หมายความว่าร่างกายจะนำไปใช้ได้ทั้งสิ้น  เพราะถ้ากินเข้าไปแล้วออกมาทางทวารหนักเสียหมดก็ย่อมหาประโยชน์อันใดมิได้  ร่างกายจะนำอาหารไปใช้ได้ ก็ต่อเมื่อได้ผ่านการย่อยและการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้ว คือ ธาตุน้ำตาล เช่น แป้ง จะถูกย่อยให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ธาตุเนื้อจะถูกย่อยให้เป็นกรดอะมิโน  ธาตุไขมันจะถูกย่อยให้เป็นกรดไขมันกับกลิสเซอรอล  ส่วนธาตุเกลือแร่และวิตามินจะไม่มีการย่อย  แต่จะถูกเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพที่ละลายได้เสียก่อน และน้ำดูดซึมได้รวดเร็วโดยไม่มีการย่อย  พวกที่ย่อยไม่ได้ เช่น พวกเอ็น พังผืด หรือเซลลูโลสในผัก นี้เรียกกากอาหาร  ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ พวกนี้จัดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายทางอ้อม  ที่ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหว จึงช่วยป้องกันมิให้ท้องผูก  นั่นคือการกินผักและผลไม้มาก ๆ นอกจากจะได้น้ำตาล เกลือแร่ และวิตามินแล้ว ยังช่วยมิให้ท้องผูกอีกด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การย่อยและการดูดซึมของอาหาร

ธาตุเนื้อมีความสำคัญเป็นพิเศษอย่างไร
คำว่าธาตุเนื้อ(โปรทีน) เป็นคำภาษากรีกมีความหมายว่า “สำคัญกว่าเพื่อน” ทั้งนี้ โดยที่ ธาตุน้ำตาลก็ดี ธาตุเนื้อก็ดี สามารถที่จะเปลี่ยนให้เป็นธาตุไขมันได้ในร่างกาย และในทำนองเดียวกัน  ธาตุไขมันและธาตุเนื้อก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นธาตุน้ำตาลได้ แต่ทว่าทั้งธาตุน้ำตาลและธาตุไขมันจะไม่สามารถเปลี่ยนใหเป็นธาตุเนื้อได้  เนื่องจากธาตุเนื้อเป็นอาหารประเภทเดียวเท่านั้นที่มีสารไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย  อนึ่งเราจำเป็นต้องกินธาตุเนื้อทุกวัน  เพราะร่างกายไม่มีการสะสมธาตุเนื้อไว้  ซึ่งผิดกับธาตุน้ำตาลหรือธาตุไขมันที่ร่างกายสามารถเก็บสะสมไว้ได้บ้าง
หน่วยย่อยของธาตุเนื้อคือกรดอะมิโน  ซึ่งมีอยู่ทั่ว ๆ ไปในอาหารประมาณ ๒๒ ชนิด  แต่มีอยู่เพียง ๑๐ ชนิดเท่านั้นที่ร่างกายจะขาดเสียมิได้ เรียกกรดอะมิโนที่จำเป็น และเราจำต้องกินเข้าไปให้เพียงพอทุก ๆ วัน มิฉะนั้นแล้วร่างกายก็จะไม่สามารถสร้างขึ้นเป็นเนื้อหนังได้  ยังผลให้ไม่เจริญเติบโต ผอม บวม พุงโร ผิวหนังอักเสบ และเปลี่ยนเป็นสีแดง ความต้านทานของร่างกายลดต่ำ ทำให้เป็นหวัดและเป็นโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย  ถ้าเป็นแผลก็จะทำให้แผลหายช้า ฯลฯ  อาหารที่มีกรดอะมิโนครบทั้ง ๑๐ ชนิดคือ ไข่ นม เลือด เนื้อสัตว์ทุกชนิด อวัยวะเครื่องใน และถั่วต่าง ๆ จึงควรพยายามเลือกอาหารเหล่านี้อย่างหนึ่งอย่างใดกินให้มากพอเป็นพิเศษทุก ๆ วัน
วิตามินเอในอาหาร
วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน  มีอยู่มากในน้ำมันตับปลา ปลากระป๋อง ตับ ลำไส้ นม และเนย  นอกจากนี้ในพืชผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มันเทศ ฟักทอง มะเขือเทศ มะละกอ กล้วย ขนุน มะม่วง ข้าวโพด ฯลฯ มีสารที่เรียกแคโรทีน ซึ่งจะถูกเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ในร่างกาย  ฉะนั้นผู้ที่เกรงว่าจะขาดวิตามินเอ  จึงพึงเลือกกินอาหารดังกล่าวนี้
วิตามินเอจะช่วยให้การเจริญเติบโต ช่วยให้นัยน์ตาและเยื่อบุต่าง ๆในร่างกายเจริญเป็นปกติ ฉะนั้น ถ้าขาดวิตามินเอจะเป็นเหตุให้ร่างกายแคระ ตาฟางในตอนกลางคืน นัยน์ตาแห้ง แดง และอักเสบ จนถึงกับนัยน์ตาบอด ทำให้ฟันผุ เป็นหมัน เป็นนิ่ว และเป็นหวัดได้ง่าย ผิวหนังจะแห้งหยาบเป็นเม็ด ๆ เหมือนกระดาษทรายหรือหนังคางคก
วิตามินบีหนึ่งและบีสองในอาหาร
วิตามินทั้งสองชนิดนี้ละลายในน้ำ  ฉะนั้นการเตรียมอาหาร วิตามินนี้จะอยู่ในน้ำละลายเป็นส่วนใหญ่ เช่น ในน้ำข้าว น้ำซุป และน้ำต้มผัก  การกินอาหารจึงไม่ควรกินแต่ส่วนเนื้อเท่านั้น  ควรจะกินส่วนน้ำด้วย  วิตามินทั้งสองชนิดนี้มีอยู่มากที่ผิวของข้าวซ้อมมือ  ฉะนั้นถ้าข้าวถูกสีขัดเสียจนขาว  วิตามินเหล่านี้ก็จะออกไปอยู่ในรำข้าวหมด  กลายเป็นอาหารของหมู เนื้อหมูจึงมีวิตามินบีหนึ่งมากกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่น  นอกจากนี้ยังมีอยู่มากในพวกถั่วต่าง ๆ ตับ อวัยวะเครื่องใน และน้ำนม
วิตามินบีหนึ่งจะช่วยในการเจริญเติบโต ช่วยให้อยากอาหาร และช่วยบำรุงประสาท ฉะนั้นถ้าขาดวิตามินบีหนึ่งจะเป็นเหตุให้ร่างกายแคระ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องผูก ปวดเจ็บตามน่อง และเป็นโรคเหน็บชา
โรคเหน็บชาพบได้บ่อย ๆ ในทารก เกิดขึ้นเนื่องจากแม่ขาดวิตามินบีหนึ่ง  น้ำนมจึงมีวิตามินน้อยหรือไม่มีเลย  ลูกจึงพลอยขาดไปด้วย อาการต่าง ๆ จะดำเนินไปรวดเร็วมาก เป็นเหตุให้ตายได้ง่าย
วิตามินบีสองจะช่วยควบคุมปฏิกิริยาทางเคมีหลายอย่างในร่างกาย ฉะนั้นถ้าขาดวิตามินบีสอง จะทำให้ริมฝีปากแดงบวม และมุมปากแตกเป็นร่องทั้งสองข้าง เรียกปากนกกระจอก ลิ้นเลี่ยนอักเสบและเป็นสีม่วง นัยน์ตาแดงอยู่เสมอ ผิวหนังบริเวณหูและจมูกอักเสบ แตกและตกสะเก็ด
ธาตุเหล็กในอาหาร
อาหารที่มีเหล็กมากคือ ตับ ไต หัวใจ เลือด เนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ หอยนางรม น้ำอ้อย และไข่แดง ในภาวะปกติร่างกายต้องการเหล็กแต่เพียงเล็กน้อย แต่เด็กที่กำลังเติบโต หญิงมีครรภ์ หรือในคนที่ร่างกายต้องสูญเสียเลือดไปมาก ๆ หรือมีพยาธิลำไส้  ความต้องการเหล็กก็ย่อมมีมากขึ้น ความสำคัญของเหล็กในร่างกายก็คือเกี่ยวกับการสร้างเม็ดเลือดแดง ฉะนั้น ถ้าขาดเหล็กก็จะเป็นเหตุให้เกิดโรคโลหิตจาง
ธาตุไอโอดีนในอาหาร
อาหารที่มีไอโอดีนมากคือ เกลือทะเลย สาหร่ายทะเล และสัตว์ทะเลทุกชนิด ฉะนั้น ประชาชนที่อยู่ไกลจากทะเลจึงมีโอกาสขาดธาตุนี้ได้ง่าย  จึงควรกินเกลืออนามัย (เกลือที่เติมธาตุไอโอดีน) ความสำคัญของไอโอดีนในร่างกายคือการผลิตฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์ที่บริเวณคอ ฉะนั้น ถ้าขาดธาตุไอโอดีนก็จะเป็นเหตุให้เกิดโรคคอพอก เนื่องจากต่อมธัยรอยด์โตขึ้น
ทารกที่เกิดจากแม่ขาดไอโอดีน จะเป็นคนแคระ และสมองทึบ ฉะนั้น ต้องรีบรักษาโดยการให้กินเกลืออนามัยโดยด่วน
ธาตุแคลเซียมในอาหาร
อาหารที่มีแคลเซียมมากคือ นม เนย ไข่ ถั่ว และน้ำอ้อย  นอกจากนี้ก็คือสัตว์เล็ก ๆ ที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น ปลา นก และกบ แคลเซี่ยมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน และเป็นธาตุสำคัญในการทำงานของประสาท  ในรายที่แคลซียมในเลือดลดต่ำจึงเป็นเหตุให้ชักได้
ในคนปกติมักไม่ใคร่ขาดธาตุนี้ แต่เด็กที่กำลังเติบโต หญิงมีครรภ์หรือแม่นม  ร่างกายต้องการธาตุนี้เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปสร้างกระดูกและผลิตน้ำนม จึงจำต้องกินแคลเซี่ยมให้มาก  มิฉะนั้นจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็ก  โรคกระดูกเปราะและหักง่าย กับฟันผุในผู้ใหญ่
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายขาดธาตุแคลเซี่ยม  คือการขาดวิตามินดี โดยที่วิตามินดีจะช่วยในการดูดซึมของแคลเซี่ยมในลำไส้ วิตามินนี้มีอยู่มากในน้ำมันตับปลา ปลากระป๋อง ตับ ไข่แดง นม และเนย นอกจากนี้เมื่อผิวหนังถูกกับแดดอ่อน ๆก็จะทำให้เกิดวิตามินดีขึ้น และร่างกายดูดซึมเอาไปใช้ได้เช่นเดียวกัน การอาบแดดจึงช่วยบำรุงสุขภาพและป้องกันการขาดธาตุแคลเซี่ยมได้ด้วย
โรคอ้วน  ในประเทศที่เจริญหรือคนที่อยู่ในกรุงของประเทศที่กำลังพัฒนา ขณะนี้กำลังเป็นโรคอ้วนกันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความเจริญของโลกทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุให้คนกินดีเกินไปแต่กลับออกกำลังกายน้อยลง  โดยที่สถิติพบว่า คนอ้วนอายุสั้น มีโอกาสเป็นโรคต่าง ๆ และตายง่ายมาก อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแข็ง แรงดันเลือดสูง ไตอักเสบ ตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ข้อเข่าอักเสบ รวมทั้งเป็นผดผื่นคันตามผิวหนังได้ง่าย  ความต้านทานโรคก็ต่ำกว่าปกติ ถ้ามีเรื่องที่ต้องทำการผ่าตัดก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงภัยมาก  จึงจำต้องรู้จักวิธีควบคุมอาหาร โดยเลิกกินน้ำตาล เลิกกินน้ำมันสัตว์ และหันมากินน้ำมันพืชแทน กินข้าวแต่น้อย กินไข่ไม่เกินสัปดาห์ละ ๓ ฟอง กินเนื้อและผักให้มากขึ้น ดื่มน้ำให้มากขึ้น ออกกำลังกายให้มากขึ้น ที่สำคัญคือต้องหมั่นชั่งน้ำหนักตรวจสอบอยู่เป็นประจำ พึงระลึกไว้ว่าการรักษาโรคอ้วนไม่ใช่ของง่าย การป้องกันจึงเป็นเรื่องที่พึงกระทำ  เพราะเป็นโรคติดอาหารเหมือนการติดเหล้าติดบุหรี่ ต้องอาศัยกำลังใจที่เข้มแข็ง ต้องรู้จักกลัวตาย และรักสวยรักงาม จึงจะกระทำได้สำเร็จ
สรุป
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต  ความรู้เรื่องอาหารและโภชนาการเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ชีวิตสมบูรณ์  และเป็นเรื่องที่ทุกคนควรเอาใจใส่ พยายามกินอาหารให้ครบทั้ง ๕ หมู่อย่างพอเพียง โดยกินข้าวให้น้อยลง กินกับให้มากขึ้น จะช่วยให้อายุยืน รูปทรงสวย แข็งแรง สูงและน้ำหนักตัวเพิ่ม สุขภาพดีทั้งทางกาย ปัญญา และอารมณ์  ทำให้มีสมรรถภาพในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการกีฬาด้วย ผู้ที่อยู่ในถิ่นที่เป็นโรคเหน็บชา ควรกินข้าวซ้อมมือ ผู้ที่อยู่ในถิ่นที่เป็นโรคคอพอกควรกินเกลืออนามัย ผู้ที่อยู่ในถิ่นอัตคัดเนื้อสัตว์ควรกินถั่วให้มาก และทุกคนควรกินนมและไข่บ้างตามสมควร
บุคคลที่มีโอกาสเป็นโรคขาดอาหารได้ง่าย คือเด็กที่กำลังเจริญเติบโต สตรีที่กำลังมีครรภ์ หรือระยะที่ให้นมบุตร ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ และผู้ที่กำลังป่วยไข้ ฉะนั้นจะต้องระวังเป็นพิเศษ
        การร่วมมือประสานงานกันอย่างจริงจัง และมีประสิทธิภาพทั้งฝ่ายประชาชนและรัฐบาล  จะช่วยให้คนไทยเราทั้งชาติอยู่ดีกินดีและมีความสุข สมดังพระพุทธภาษิตที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา ควาไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ”

ที่มา :http://www.healthcarethai.com







หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การสร้างสิ้งของเครื่องใช้ตามกระบวนการ เทคโนโลยี

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การสร้างสิ้งของเครื่องใช้ตามกระบวนการ เทคโนโลยี การสร้างสิ่งของเครื่องใช้ตามกระบวนการเทคโนโลยี กระบวนก...